--------------------------------------------------------------------------------------------------
--- **นักเรียนเตรียมทหาร สามัคคี มีความรู้ คู่คุณธรรม
--------------------------------------------------------------------------------------------------



วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับอ่านหนังสือ สอบเตรียมทหาร

ข้อที่ 1. น้องๆต้องใส่ใจเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก่อนเลยล่ะ ดูซิ!!!ว่าวิชาไหนน่ะที่เราต้องสอบเป็นอันดับแรกๆ หยิบวิชานั้นขึ้นมาก่อนเลย เตรียมไว้นะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับวิชาที่จะสอบ ชีท เอกสารต่างๆ หรือแนวข้อสอบ(อันนี้สำคัญนะค่ะ หาให้เจอล่ะ) ค้นเลยๆ ทุกวิชานะค่ะ

ข้อที่ 2.แยกหมวดหมู่แต่ละวิชา ก่อน-หลัง แล้วหาที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบด้วยล่ะ

ข้อที่ 3.เตรียม ดินสอ/ปากกา สมุด และปากกาเน้นข้อความไว้ด้วยนะ (เตรียมทหาร)

ข้อที่ 5.เริ่มอ่านวิชาที่จะต้องสอบก่อนเป็นวิชาแรกเลยค่ะ ตรงนี้แหละสำคัญมาก น้องๆอย่าอ่านๆๆๆๆๆแล้วก็อ่านเพื่อให้จบ แบบผ่านๆนะค่ะ ต่อให้น้องๆอ่านสัก 10 รอบแล้วบอกคนอื่นๆว่า "ก็เค้าอ่านเป็นสิบๆรอบแล้วอ่ะ แต่ทำไมทำข้อสอบไม่ได้เลยน่ะ?" อ่ะๆๆๆ!!! อ่านสัก 100 รอบก็ไม่ช่วยอะไรหรอกเจ้าค่ะ อ่านแล้วต้องทำความเข้าใจไปด้วย ตรงไหนที่คิดว่าสำคัญๆ น้องๆก็เน้นตรงจุดนั้นไว้ อาจจะใช้วิธีการจดบันทึกไว้ หรือ เน้นข้อความด้วยปากกาสีต่างๆก็ได้ค่ะ เพื่อว่าจะได้กลับมาอ่านอีกครั้ง


ข้อที่ 6.นั้นงัยๆๆๆพี่บอกไปตะกี้เองนะค่ะว่าอย่าอ่านแบบผ่านๆ ดูสิ!!!น้องๆลองกลับไปอ่านข้อ 3 ใหม่สิค่ะ แล้วดูซิว่าที่ต่อจากข้อ 3 นะเป็นข้อที่เท่าไหร่ ข้อที่ 4หายไปๆๆๆๆ ส่วนน้องๆคนไหนสังเกตเห็นก่อนที่พี่เฉลย น้องก็ไม่มีปัญหาในเรื่องของการอ่านหนังสือแล้วละค่ะ เก่งมากๆเลย ส่วนน้องๆคนไหนที่ไม่ทันได้สังเกต ก็เอาจุดนี้เนี่ยแหละค่ะไปลองปรับใช้กับการอ่านหนังสือดูตามที่พี่บอกไว้ในข้อที่ 5 นะค่ะ


ข้อที่ 7.อ่ะ ต่อๆๆ การไม่ปล่อยให้ท้องว่างก็เป็นสิ่งสำคัญนะค่ะ ถ้าน้องๆอ่านๆๆๆหนังสืออย่างเดียวจนลืมทานข้าวแล้วละก็ นอกจากน้องๆจะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้ว อาจจะทำให้ป่วย และทำให้เป็นโรคกระเพาะได้ด้วยนะจ๊ะ สำคัญเลย ต้องหาอะไรทานเมื่อท้องว่างด้วยน้า...อย่าทรมาณตัวเองละ


ข้อที่ 8.ในการอ่านหนังสือ น้องๆควรเลือกเวลาที่รู้สึกว่าสมองเราพร้อมจะทำงานด้วยนะจ๊ะ แล้วเมื่อน้องๆรู้สึกว่าเริ่มอ่านไม่ไหวแล้วล่ะ อ่านนานมากไปทำให้ปวดตา ปวดหัว ให้น้องๆพักก่อน อาจจะหาอย่างอื่นทำ เช่นพักสายตาโดยการหาเพลงเพราะๆฟัง(อ่ะๆๆๆเลือเพลงที่ฟังแล้วจรรโลงใจด้วยละ ถ้าฟังเพลงที่หนักไป อาจทำให้ยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่รู้ด้วยนะเจ้าค่ะ) จะดูทีวี เล่นเกม หรือกิจกรรมอื่นๆที่ทำแล้วผ่อนคลายก็หามาลองทำกันดูนะเจ้าค่ะ แต่ๆๆๆๆแล้วก็แต่...อย่าพักจนเพลินละ เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายผ่อนคลายเพียงพอแล้วก็กลับเข้าสู่โหมดการอ่านหนังสือต่อเลยยย (เอาน่าๆทนเอาหน่อยนะเจ้าค่ะ สอบไม่ได้มีมาบ่อยๆ ตั้งใจให้สุดๆไปเลย)

ข้อที่ 9.นั้นแน่ๆ พี่รู้นะว่าน้องๆเริ่มใส่ใจในรายละเอียดในการอ่านกันบ้างแล้ว คงคิดใช่มั้ยละ ว่าพี่จะแกล้งทำให้ข้อไหนหายไปอีกน่ะ!!! ดีแล้วค่ะถ้าน้องๆคิดแบบนี้นะ เป็นการฝึกตัวเองไปด้วย ให้เป็นคนรอบคอบ ดีค่ะๆ อ่ะต่อๆ (สอบเตรียมทหาร)

ข้อที่ 10.อ้า....อ่านไม่ทันแล้วอ่ะ!!!ทำไงดีๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนๆคนอื่นๆเกือบทุกคนละค่ะ ที่สำคัญเลย อย่าตื่นเต้นจนรนล่ะ ตั้งสตินะค่ะตรงนี้สำคัญมากๆเลย ให้น้องๆหยุดอ่านหนังสือต่อสักพักนึง แล้วดูซิว่า...พรุ่งนี้เราสอบวิชาอะไรบ้าง แล้วหยิบวิชาที่สอบเป็นวิชาแรกมาอ่านทบทวนก่อนเลย แล้วก็ทบทวนวิชาอื่นๆต่อไป (ตรงถ้าคิดว่ากลัวอ่านไม่ทันรอบทบทวนให้น้องๆอ่านในส่วนที่เน้น ที่สำคัญๆเอาไว้ก่อนเลย จำได้มั้ยเอ๋ยว่าในการอ่านรอบแรกพี่ให้น้องๆจดบันทึกที่สำคัญๆไว้ที่คิดว่าน่าจะออก หรือส่วนที่มันยาก จำไม่ได้ก็นำมาอ่านก่อนเลย ตรงส่วนไหนที่น้องๆจำได้ หรือเข้าใจก็เปิดผ่านๆเลยค่ะ ตอนนี้เราต้องทำเวลาแหละน่ะ)


ข้อที่ 11.เอาละ...อ่านหนังสือสอบก็ต้องฟิสหน่อย น้องๆบางคนอาจจะอ่านหนังสือเร็วและเข้าใจง่ายทำให้การอ่านหนังสือไม่ค่อยมีปัญหาเลยก็ดีไป ส่วนน้องคนไหนเป็นคนที่อ่านหนังสือช้าก็ต้องขยันกว่าคนอื่นๆหน่อยแล้ว อาจจะทำให้อ่านหนังสือไม่ทัน ทำให้ต้องนอนดึกหน่อย ก็อย่าลืมดูแลตัวเองนะค่ะ หานมอุ่นๆหรือของว่างทานสักนิดนึง ใส่ใจในสุขภาพหน่อยนะค่ะ เพราะเดี๋ยวน้องๆอาจป่วยได้ แล้วเป็นงัยน่ะ ไปสอบไม่ได้ แย่เลยน่ะเจ้าค่ะ สำคัญเลย ถ้าอ่านหนังสือไม่ทันแล้วจริงๆ แต่ร่างกายเราไม่ไหวแล้ว อย่าฝืนนะค่ะ ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น รีบเตรียมตัวเข้านอนกันดีกว่าค่ะ ตื่นเช้ามาจะได้สดชื่น แถมถ้าเราตื่นเร็ว ก็จะมีเวลาอีกนิดในการทบทวนก่อนเข้าห้องสอบเตรียมทหาร

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

คำแนะนำ ในการเตรียมตัวเข้าเตรียมทหาร

การสอบเตรียมทหารนั้นต้องมีการเตรียมตัวอย่างถูกต้อง เพราะถ้ามัวแต่เสียเวลาลองผิดลองถูกด้วยตัวเองนั้นก็บอกได้เลยว่ายากที่จะประสบความสำเร็จในการสอบเข้าเตรียมทหารได้

เพราะสามารถสอบได้แค่เพียงคนละ2-3ปีเท่านั้น ดังนั้นผู้ที่มีการเตรียมพร้อมที่ดีเท่านั้นที่จะสามารถสอบผ่านเข้าโรงเรียนนายร้อยแต่ละเหล่าที่มีคนสอบมากกว่า20000คน แต่รับได้เพียงเหล่าละร้อยกว่าคนเท่านั้น

เกณฑ์ในการสอบพลศึกษาของโรงเรียนนายร้อย และ เตรียมทหาร แต่ละเหล่าทัพ มีการใช้เกณฑ์การสอบที่กำหนดไว้ หากน้องมีพื้นฐานที่ดีและมีการเตรียมตัวก่อนผู้สอบคนอื่นๆ ก็สามารถที่จะนำเอาชัยชนะมาได้อย่างง่ายดาย ฉะนั้นเราควรมีความพร้อมก่อนสอบเข้าเตรียมทหาร

โดยทางสถาบันฯ จะมีพี่ๆศิษย์เก่าของสถาบันฯมาให้คำแนะนำในการเตรียมตัวฝึกฝนในทุกๆสถานีที่ทำการสอบ แนะนำและสอนเทคนิคการสอบสัมภาษณ์จากประสบการณ์ตรงของพี่ๆแต่ละเหล่าทัพ หากน้องได้รู้ข้อมูลในการสอบต่างๆมากกว่าผู้สอบคนอื่น จะช่วยในการลดความตื่นเต้นหวาดกลัว แต่เพิ่มความรู้และความมั่นใจให้กับน้อง เพื่อสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆได้

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

การทดสอบบุคคลิกภาพ พละศึกษา เตรียมทหาร



การทดสอบบุคคลิกภาพ.... ไม่มีคะแนนถือเกณฑ์ ได้-ตก โดยใช้แบบทดสอบที่คณะอนุกรรมการกำหนด

การสอบพละศึกษา .... เป็นการทดสอบสมรรถภาพของร่างกาย มีคะแนนเต็ม 50 คะแนน



ดึงข้อราวเดี่ยว เตรียมทหาร
ท่าเตรียม ให้ผู้ทดสอบจับราวเดี่ยวแบบมือคว่ำกำรอบ ปล่อยตัวให้ตรงจนแขน ลำตัว และขาเหยียดตรง

ท่าปฏิบัติ ให้ผู้ทดสอบทำท่าต่จากท่าเตรียม โอยงอแขนดึงตัวขึ้นจนคางอยู่เหนือราว แล้วปล่อยตัวลงสู่ท่าเตรียม กระทำติดต่อกันให้ได้จำนวนครั้งที่มากที่สุด ห้ามแกว่งเท้าหรือเตะขา หรือหยุดพักระหว่างครั้งนานเกินกว่า 3-4 วินาทีหรือไม่สามารถดึงขึ้นพ้นราวได้ 2 ครั้งติดต่อกัน หรือดึงขึ้นไม่พ้น ให้หยุดทำการทดสอบ

ถ้าทำได้ 20 ครั้ง จะได้คะแนนเต็ม

ถ้าทำได้ 7 ครั้ง จะได้คะแนนครึ่งหนึ่ง

ลุกนั่ง 30 วินาที เตรียมทหาร
ท่าเตรียม ให้ผู้ทดสอบนอนหงาย เข่าทั้งสองงอเป็นมุมฉาก เท้าทั้งสองวางห่างกันพอประมาณฝ่ามือทั้งสองประสานกันที่ท้ายทอย ผู้ช่วยคุกเข่าอยู่บนปลายเท้าของผู้ทดสอบโดยเอามือทั้งสองกดข้อเท้าของผู้ทดสอบไว้ให้ส้นเท้าติดพื้น

ท่าปฎิบัติ เมื่อได้ยินสัญญาณเริ่ม ให้ผู้ทดสอบลุกขึ้นสู่ท่านั่งพร้อมกับก้มศรีษะลงระหว่างเข่าทั้งสองให้แขนทั้งสองแตะกับเข่าแล้วกลับลงนอนสู่ท่าเตรียมจนศอกแตะกับพื้น ทำเช่นนี้ติดต่อกันให้ได้จำนวนครั้งมากที่สุดภายใน 30 วินาที ในขณะปฏิบัตินิ้วมือประสานที่ท้ายทอยตลอดเวลา และขณะที่ลุกขึ้นสู่ท่านั่งห้ามเอนตัวไปมา

ถ้าทำได้ 25 ครั้ง จะได้คะแนนเต็ม

ถ้าทำได้ 19 ครั้ง จะได้คะแนนครึ่งหนึ่ง

ยึดพื้นหรือดันข้อ เตรียมทหาร
ท่าเตรียม ผู้ทดสอบนอนคว่ำมือยันพื้น แขนทั้งสองเหยียดตรงห่างกันพอประมาณ ลำตัวเหยียดตรงปลายเท้าจรดพื้นเงยศรีษะขึ้น

ท่าปฏิบัติ ผู้ทดสอบทำต่อจากท่าเตรียม โดยยุบแขนทั้งสองข้างลงพร้อมกันให้บริเวณหน้าอกแตะพื้น แล้วดันลำตัวขึ้นกลับสู่ท่าเตรียม ทำเช่นนี้ให้ได้จำนวนครั้งมากที่สุด ห้ามทำตัวแอ่น หรือเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง หรือแขนทั้งสองข้างขึ้นไม่พร้อมกัน หรือหยุดพักระหว่างครั้งนานเกินกว่า 3-4 วินาที หรือไม่สามารถดันขึ้นสู่ท่าเตรียมเกินกว่า 3-4 วินาที ให้หยุดการทดสอบ

ถ้าทำได้ 54 ครั้ง จะได้คะแนนเต็ม

ถ้าทำได้ 27 ครั้ง จะได้คะแนนครึ่งหนึ่ง

วิ่งระยะสั้น ( 50 เมตร) เตรียมทหาร
ท่าเตรียม ผู้ทดสอบยืนอยู่หลังเส้นเริ่มในลู่วิ่งของตนเองพร้อมจะปฏิบัติ

ท่าปฏิบัติ เมื่อได้ยินสัญญาณ ให้ผู้ทดสอบเริ่มวิ่งอย่างเร็วออกจากเส้นเริ่มจนผ่านเส้นชัย

ถ้าทำได้ไม่เกิน 5.5 วินาที จะได้คะแนนเต็ม

ถ้าทำได้ 7 วินาที จะได้คะแนนครึ่งหนึ่ง

วิ่งระยะไกล ( 1000 เมตร) เตรียมทหาร
ท่าเตรียม ผู้ทดสอบยืนอยู่หลังเส้นเริ่ม เตรียมตัวปฏิบัติ

ท่าปฏิบัติ เมื่อได้ยินสัญญาณ ให้ผู้ทดสอบเริ่มวิ่งจากเส้นเริ่มไปตามทางวิ่งจนสิ้นสุดระยะทางโดยผ่านเส้นชัย

ถ้าทำได้ไม่เกิน 3.18 นาที จะได้คะแนนเต็ม

ถ้าทำได้ 4.32 นาที จะได้คะแนนครึ่งหนึ่ง

ผู้ที่สอบวิ่งระยะไกลทำเวลาเกินกว่า 5 นาที 22 วินาที หรือวิ่งไม่ถึง จะไม่รวมคะแนนการสอบพละศึกษาทุกประเภท และถือว่าสอบพละศึกษาตก

ยืนกระโดนไกล เตรียมทหาร
ท่าเตรียม ผู้สอบยืนบนพื้นที่เรียบหลังเส้นกระโดด ปลายเท้าทั้งสองชิดเส้น หันหน้าไปทางทิศทางที่จะกระโดด

ท่าปฏิบัติ เมื่อได้ยินสัญญาณให้เริ่มปฏิบัติ ให้ผู้ทดสอบกระโดดไปข้างหน้าให้ได้ระยะไกลที่สุด (โดยใช้การแกร่งแขนช่วย) วัดระยะทางกระโดดจากเส้นกระโดดไปยังจุดที่ส้นเท้าลงบนพื้นไกลเส้นเริ่มต้นมากที่สุด

ถ้าทำได้ 2.5 เมตร จะได้คะแนนเต็ม

ถ้าทำได้ 2.25 เมตร จะได้คะแนนครึ่งหนึ่ง

ว่ายน้ำ 50 เมตร เตรียมทหาร
ท่าเตรียม ผู้ทดสอบยืนที่ขอบสระพร้อมจะปฏิบัต

ท่าปฏิบัติ เมื่อได้ยินสัญญาณ ให้ผู้ทดสอบพุ่งตัวลงสระว่ายน้ำแล้วว่ายโดยเร็ว จนถึงขอบสระที่เป็นเส้นชัย การเข้าเส้นชัย ถือเอาส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายแตะขอบสระที่เป็นเส้นชัย

ถ้าทำได้ 40 วินาที จะได้คะแนนเต็ม

ถ้าทำได้ 54 วินาที จะได้คะแนนครึ่งหนึ่ง

ผู้ที่สอบว่ายน้ำทำเวลาเกินกว่า 1 นาที 20 วินาที หรือว่ายน้ำไม่ถึงเส้นชัย จะไม่รวมคะแนนการสอบพละศึกษาทุกประเภท และถือว่าสอบพลศึกษาตก

วิ่งเก็บตัว (วิ่งเก็บของ) เตรียมทหาร
ท่าเตรียม ผู้ทดสอบยืนอยู่หลังเส้นเริ่ม พร้อมจะปฏิบัติ ท่าปฏิบัติ เมื่ได้ยินสัญญาณ ให้ผู้ทดสอบวิ่งอย่างเร็วจากเส้นเริ่มไปหยิบท่อนไม้ ท่อนที่ 1 ซึ่งวางอยู่ภายในวงกลมรัศมี 1 ฟุต กลับมาวางภายในวงกลมหลังเส้นเริ่ม ( ห้ามโยนท่อนไม้ ถ้าวางไม่เข้าวงกลมต้องเริ่มต้นใหม่ ) แล้วกลับตัววิ่งไปหยิบท่อนไม้ท่อนที่ 2 แล้ววิ่งกลับผ่านเส้นเริ่มต้นไปโดยไม่ต้องวางไม้ท่อนที่ 2 ลง

ถ้าทำได้ 9.5 วินาที จะได้คะแนนเต็ม

ถ้าทำได้ 11 วินาที จะได้คะแนนครึ่งหนึ่ง

การวัดขนาดร่างกายและสอบสัมภาษณ์ เป็นการพิจารณารูปร่าง ลักษณะท่าทาง ความสมบูรณ์ของร่างกาย ความองอาจ ว่องไวและปฏิภาณไหวพริบ ตลอดจนคุณลักษณะอื่น ๆ

ผลการสอบถือเกณฑ์ ได้ หรือ ตก เท่านั่นไม่มีคะแนน เตรียมทหาร

หลักฐานที่ต้องใช้ในการสมัคร เตรียมทหาร

1. รูปถ่ายครึ่งตัวหน้าตรงไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่นกันแดด แต่งกายชุดนักเรียนหรือชุดสุภาพ ขนาด 1 * 1.5 นิ้ว จำนวน 7 รูป ต้องเป็นรูปที่ถายไว้ดในคราวเดียวกันไม่เกิน 3 เดือน นับถึงวันยื่นสมัคร เขียนชื่อ ชื่อสกุล ด้วยตัวบรรจงด้านหลังรูปทุกรูป เตรียมทหาร

2. สำเนาใบรับรองผลการเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ( รบ. 5- ต หรือ รบ.1-ต) หรือใบรับรองการศึกษาที่โรงเรียนออกให้ โดยมีรูปถ่ายติด จำนวน 1 ชุด

3. สำเนาทะเบียนบ้าน ( ฉบับเจ้าบ้าน) หรือสำเนาทะเบียนบ้านที่ทางราชการออกให้และรับรองสำเนาถูกต้องไว้เกิน 6 เดือน นับถึงวันปิดรับสมัครของผู้สมัคร จำนวน 1 ชุด

การสอบคัดเลือก และขอบเขตเนื้อหาวิชาสอบ เตรียมทหาร

การสอบรอบแรก เป็นการสอบข้อเขียน วิชาที่สอบได้เแก่ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย-สังคม ขอบเขตที่สอบตามเนื้อหาที่วิชาครอบคลุมความรู้ระดับ ช่วงชั้นปีที่ 3 ( มัธยมศึกษาปีที่ 1-3) ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ มีรายละเอียดดังนี้

วิชาวิทยาศาสตร์ คะแนนเต็ม 250 คะแนน.....ม.1(ค 101 , ค 102) ม.2(ค 203 , ค 204) และ ม.3(ค 011 , ค 012 )

วิชาคณิตศาสตร์ คะแนนเต็ม 250 คะแนน.....วิทยาศาสตร์เพื่อการสร้างสรรค์ , น้ำเพื่อชีวิต , สารรอบตัว , โลกสีเขียว , ชีวิตสัตว์ , ระบบนิเวศ , อาหาร , กลไกมนุษย์ , หญิงและชาย , โลกและการเปลี่ยนแปลง , ทรัพย์ในดินสินในน้ำบรรยากาศ , โลกดวงดาวและอวกาศ , พลังงานกับชีวิต , เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน , การขนส่งและการสื่อสาร , ผลผลิตทางการเกษตรและการจัดการ

วิชาภาษาอังกฤษ คะแนนเต็ม 100 คะแนน.....การใช้ไวยากรณ์พื้นฐาน , ความสามารถในทักษะการอ่าน , ความสามารถในการใช้ภาษาเพื่อสื่อสาร , คำศัพท์และสำนวนที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

วิชาภาษาไทย คะแนนเต็ม 50 คะแนน.....หลักภาษาไทย และทักษะสัมพันธ์

วิชาสังคม คะแนนเต็ม 50 คะแนน.....ประเทศของเรา , ทวีปของเรา , โลกของเรา

การสอบรอบสอง เตรียมทหาร


เป็นการตรวจร่างกาย ตรวจสอบประวัติ ทดสอบบุคคลิกภาพ สอบพลศึกษา สอบสัมภาษณ์ และวัดขนาดของร่างกาย

การตรวจร่างกาย.... ถือความเห็นของคณะกรรมการแพทย์จากโรงพยาบาลของเหล่าทัพที่สอบ จะไม่รับพิจารณาผลการตรวจร่างกายที่ผู้สมัครได้รับการตรวจมา

* คำเตือน เตรียมทหาร

ในตอนเช้าวันตรวจร่างกาย ไม่ควรรับประทานอาหารหวานจัด เพราะอาจทำให้ตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ
ก่อนตรวจร่างกาย ห้ามรับประทานยาแก้ไอทุกชนิด
ห้ามใส่ CONTACT – LENS ไปตรวจสายตา

คุณสมบัติของผู้สมัครนักเรียนเตรียมทหาร

* ผู้สมัครเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ต้องมีคุณสมบัติดังนี้

1.สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ หรือเทียบเท่า


2.อายุไม่ต่ำกว่า 14 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 17 ปีบริบูรณ์

3.มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด และบิดามารดามีสัญชาติไทยโดยกำเนิด

4.มีอวัยวะ รูปร่าง ขนาดของร่างกายเหมาะสมแก่การเป็นนายทหารหรือตำรวจ

5.เป็นชายโสด ไม่เคยมีความประพฤติเสื่อมเสียทางเพศ

6.เป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อย ไม่บกพร่องในศีลธรรมอันดี

7.ไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว และไม่เคยเป็นบุคคลล้มละลาย

8.ไม่เป็นผู้อยู่ในระหว่างเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา

9.ไม่เป็นผู้ที่เคยถูกให้ออกจากโรงเรียนเพราะความผิด

10.ไม่เป็นผู้เสพติด หรือสิ่งเสพติดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

11.บิดา มารดา และผู้ปกครอง เป็นผู้มีอาชีพอันชอบธรรม หรือมีหลักฐาน

12.เป็นผู้ได้รับอนุญาตจากบิดา มารดา หรือผู้ปกครองให้สมัครเป็นนักเรียนเตรียมทหารแล้ว

ผู้สมัครที่มีสิทธิได้รับคะแนนเพิ่มพิเศษ เตรียมทหาร

1 ผู้สมัครเป็นบุตรของข้าราชการในสังกัดกระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีเวลารับราชการติดต่อกันไม่น้อยกว่า 15 ปี หรือได้รับพระราชทานเหรียญจักรมาลา

2.ผู้สมัครเป็นบุตรของทหาร ข้าราชการ หรือลูกจ้างซึ่งได้กระทำหน้าที่ในระหว่างเวลาที่มีการรบ หรือการสงคราม หรือมีการปราบปรามจลาจลหรือในระหว่างเวลาที่มีพระบรมราชโองการประกาศใช้กฏอัยการศึกหรือมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิก

3. ผู้สมัครเป็นบุตรของทหาร ข้าราชการ หรือลูกจ้างซึ่งต้องประสบอันตรายถึงทุพพลภาพในขณะปฏิบัติราชการในหน้าที่

4. ผู้สมัครเป็นบุตรของผู้ที่ได้ช่วยเหลือราชการในการปราบปรามโจรผู้ร้ายจนถึงแก่ทุพพลภาพหรือถึงแก่ชีวิต
การรับสมัคร เตรียมทหาร

กรณีสมัครด้วยตนเองที่โรงเรียนเหล่าทัพ
กรณีสมัครทางไปรษณีย์ เตรียมทหาร

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เป็นนักเรียน "เตรียมทหาร" ได้อะไรบ้าง

1.ได้รับเงินเดือนประมาณ 2,000 - 4,000 บาท/เดือน ในขณะที่ศึกษาอยู่ใน ร.ร.เตรียมทหาร และ ร.ร.เหล่าทัพ 2. ไม่เสียค่าเล่าเรียน ค่าอาหาร ค่าที่พักและค่ารักษาพยาบาล ในระหว่างที่เรียนอยู่ใน ร.ร.เตรียมทหารและ
ร.ร.เหล่าทัพ
3.มีสิทธิ์ได้รับทุนการศึกษาหรือทุนความประพฤติดีเป็นประจำทุกปีในขณะที่กำลังศึกษาอยู่
4.มีโอกาสสอบคัดเลือกชิงทุนไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี โท เอก ยังต่างประเทศ อาทิเช่น สหรัฐอเมริกา เตรียมทหาร
อังกฤษ เยอรมัน ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ฯลฯ
5.เมื่อสำเร็จการศึกษาจาก ร.ร.เหล่าทัพ แล้วจะได้รับพระราชทานยศ ร้อยตรี เรือตรี เรืออากาศตรี และร้อยตำรวจตรี เตรียมทหาร
พร้อมกับได้รับพระราชทานกระบี่จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นเครื่องหมายเกียรติยศสูงสุดของ
นักเรียนนายร้อยที่สำเร็จการศึกษาจาก ร.ร.เหล่าทัพ เตรียมทหาร
6.ได้รับพระราชทานปริญญาบัตร วุฒิการศึกษา วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต และวิทยาศาสตรบัณฑิต
ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นนายทหารหลักประจำเหล่าทัพต่างๆ และมีโอกาสเจริญก้าวหน้าในอาชีพ
7.รับราชการทหาร ตำรวจอย่างสูงที่สุดเป็นการสร้างเกียรติยศและชื่อเสียงให้กับตัวเองและวงศ์ตระกูลสืบไป

ขอบคุณที่มา http://www.cadethome.com/precadet_good.html

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การเตรียมตัวก่อนสอบเข้าเตรียมทหารครับ

อันดับแรกเลยน้องๆ ต้องมีจิตใจที่มุ่งมั่นในการที่จะเป็นนักเรียนเสียก่อน เพราะการเป็นนักเรียนนายร้อยนั้นต้องเป็นผู้ที่มีความเสียสละ อดทน และเข้มแข็ง เมื่อเรามีความพร้อมทางด้านจิตใจแล้ว เราก็ต้องเตรียมพร้อมในด้านวิชาการสำหรับพี่ เทคนิคในการเตรียมตัวสอบเข้าเป็น นรต.

1. พยายามศึกษาเนื้อหาในชั้นเรียนให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
2. ศึกษาหาความรู้ เทคนิคต่างๆ ในการทำข้อสอบจากสถาบันติวสอบเข้า .....

เทคนิค การเตรียมตัวสอบ เข้าโรงเรียนเตรียมทหาร
จาก นรต. เอกพงษ์ เดชพรมรัมย์ และ นตท. ภาคย์ ภาคพิชเจริญ

อันดับแรกน้องๆ ต้องมีจิตใจที่มุ่งมั่นในการที่จะเป็นนักเรียนเสียก่อน เพราะการเป็นนักเรียนนายร้อยนั้นต้องเป็นผู้ที่มีความเสียสละ อดทน และเข้มแข็ง เมื่อเรามีความพร้อมทางด้านจิตใจแล้ว เราก็ต้องเตรียมพร้อมในด้านวิชาการสำหรับพี่ เทคนิคในการเตรียมตัวสอบเข้าเป็น นรต. คือ
1. พยายามศึกษาเนื้อหาในชั้นเรียนให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
2. ศึกษาหาความรู้ เทคนิคต่างๆ ในการทำข้อสอบจากสถาบันติวสอบเข้า รร. ตท. ซึ่งพี่ก็ได้ตัดสินใจเลือกเรียนที่ศราโรจน์กวดวิชา ซึ่งมีเทคนิคที่ใช้ในการสอบเข้าได้จริง เช่น เทคนิคการตัว choice และสูตรลัดต่างๆ และอาจารย์ก็มีความเป็นกันเองกับนักเรียน
3. หมั่นทำข้อสอบเก่าที่ทางสถาบันติวจัดให้ เพื่อให้เกิดความเคยชินในการทำข้อสอบ
4. จดบันทึกเป็นความเข้าใจส่วนตัวของเราเอง โดยพี่มีหลักคิดว่า “การจดจะทำให้จำ”
ด้วยเทคนิคและความพยายามของพี่ ทำให้พี่ได้เข้ามาเป็น นรต. รุ่นที่ 47 ปัจจุบันเป็น นรต. รุ่น 63 สุดท้ายนี้ พี่ขอให้น้องๆ ทุกคนมีความตั้งใจและไม่ท้อถอยต่ออุปสรรคต่างๆ พี่เชื่อว่าน้องจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

จากพี่ถึงน้องๆ
1. ทำสรุปตามรายวิชาโดย เน้นแต่หลักสำคัญ ข้อควรจำ สูตรสำคัญ (สูตรลัด) และทำการสรุปไม่ควรเกิน 5 แผ่นกระดาษ A4 ในกรณีนี้เอาไว้ใช้ก่อนสอบ * สำหรับคนที่ ทำข้อสอบเก่ามามากแล้ว
2. ก่อนสอบวันนึงต้องครายเครียด ไม่ต้องอ่านหนังสือ ถ้าอยากอ่านก็อ่านที่ทำสรุปก็แล้วกัน
3. ถ้ารู้สึกว่ามีบางเรื่องที่เรายังไม่รู้ในรายวิชาที่สอบนั้นแสดงว่าเรายัง ไม่พร้อมสอบ 100 % ต้องเอาแบบว่า ไม่มีอะไรให้อ่านแล้ว หรือประมาณว่าเห็นโจทย์ก็อ่านได้เลย
4. เทคนิคตอนทำข้อสอบ อย่าไซร้มากจนเกินไป อย่าตื่นเต้น ถนัดวิชาไหนก็เอาวิชานั้นก่อน ทำแบบว่า ทำไปยิ้มไป สี่เหล่าเก็บได้หมด
5. รอบสอง น่ากลัวเหมือนกันคือเรื่องสายตาควรไปตรวจดูก่อนว่า เราสั้นไปหรือเปล่า จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจตอนตรวจสายตา และอีกอย่างก็วิ่ง 1,000 m กับว่ายน้ำ 50m นะ ต่อให้เก่งขนาดไหน ถ้าตกวิ่งกับว่ายน้ำก็อดนะ !!!
นรต . ยงยุทธ ใหญ่โคกกรวด ชั้นปีที่ 3 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ


ที่มา คลิ๊ก

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วิธีสมัครเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร

โรงเรียนเตรียมทหาร กรมยุทธศึกษาทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด เป็นสถาบันการศึกษาที่เตรียมนักเรียนสำหรับ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่ปรับระดับการศึกษาของนักเรียนทุกคน ให้มีพื้นฐานความรู้ทางวิชาการอันมั่นคง ตลอดจน ให้มีแนวความคิดและความ คุ้นเคยซึ่งกันและกันตั้งแต่เบื้องต้น เพื่อผลแห่งการปฏิบัติงานร่วมกันในอนาคต

โรงเรียนเตรียมทหาร ฯ มีภารกิจที่จะให้การศึกษาแก่นักเรียนเตรียมทหารในระดับชั้นมัธยมศึกษา ตอนปลาย ให้มีความรู้ความสามารถในวิชาการทหารเบื้องต้น และปลูกฝังคุณสมบัติการเป็นผู้นำ อุปนิสัย อัธยาศัย กำลังใจ ให้เข้มแข็งมั่นคง มีพื้นฐานความรู้ คุณสมบัติ และสมรรถภาพอันเหมาะสมที่จะเข้ารับการศึกษาต่อใน โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรืออากาศ กองบัญชาการฝึกศึกษาทหารอากาศ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่อไป

๒. คุณสมบัติของผู้สมัครสอบ

๒.๑ สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ (ม.๓) หลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการหรือเทียบเท่า

๒.๒ อายุไม่ต่ำกว่า ๑๔ ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน ๑๗ ปีบริบูรณ์ ในปีที่จะเข้ารับการศึกษาเป็นนักเรียนเตรียมทหาร การนับอายุให้นับตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร (ผู้ที่เกิด พ.ศ.๒๕๓๓ - ๒๕๓๖)

๒.๓ มีสัญชาติไทยโดยกำเนิดและบิดา มารดา มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด แต่ถ้าบิดาเป็นนายทหาร

นายตำรวจชั้นสัญญาบัตร หรือ นายทหาร นายตำรวจชั้นประทวน ซึ่งมีสัญชาติไทยโดยกำเนิดแล้ว มารดาจะ มิใช่เป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยกำเนิดก็ได้

๒.๔ มีอวัยวะ รูปร่างลักษณะท่าทาง ขนาดของร่างกายเหมาะสมแก่การเป็นทหารหรือตำรวจ ไม่เป็นโรคตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงตามความในกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร และกฎกระทรวง ออกตามความในกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการตำรวจ ตามที่กองบัญชาการทหารสูงสุด กำหนด รายละเอียดไว้ในผนวกท้ายระเบียบ

๒.๕ เป็นชายโสด ไม่เคยมีความประพฤติเสื่อมเสียทางเพศ หรือติดต่อได้เสียกับหญิงถึงขั้นที่จะถือว่าเป็นผู้มีภรรยา

๒.๖ เป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อย ไม่บกพร่องในศีลธรรมอันดี มีอุดมการณ์เลื่อมใสในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และมีผู้ปกครองดูแลรับผิดชอบ

๒.๗ ไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว และไม่เคยเป็นบุคคลล้มละลาย

๒.๘ ไม่เป็นผู้ที่อยู่ในระหว่างเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา และไม่เคยต้องโทษจำคุกตาม คำพิพากษาคดีถึงที่สุด เว้นแต่ความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

๒.๙ ไม่เป็นผู้ที่เคยถูกให้ออกจากโรงเรียนเพราะความผิด หรือถูกถอนทะเบียนจากความเป็นนักเรียนเตรียมทหาร

๒.๑๐ ไม่เป็นผู้เสพยาเสพติด หรือสิ่งเสพติดอื่น ๆ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

๒.๑๑ บิดา มารดา และผู้ปกครอง เป็นผู้มีอาชีพอันชอบธรรม หรือเป็นผู้ที่มีหลักฐานเชื่อถือได้

๒.๑๒ เป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตจากบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง ให้สมัครเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารแล้ว

๒.๑๓ ต้องมีผู้ปกครองหรือผู้รับรอง ซึ่งสามารถรับรองข้อความ และพันธกรณี ตามที่กองบัญชาการทหารสูงสุด กำหนด

๒.๑๔ ต้องไม่มีพันธกรณีผูกพันกับองค์กรของรัฐบาลหรือเอกชน อันจะเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา

เตรียมตัวสอบ นักเรียนเตรียมทหาร

น้องๆ....ที่ฝันอยากเป็นนักเรียนเตรียมทหาร แต่ไม่มีเงินไปเรียนกวดวิชาแพงๆ ลองมาคุยกันได้ครับ

พี่มีวิธีการเตรียมตัวสอบเตรียมทหารที่ได้ผล เป็นวิธีที่พี่ใช้ได้จริง เนื่องจากพี่สามารถสอบผ่านภาควิชาการของเตรียมทหารได้ แต่พี่มีปัญหาด้ายสุขภาพจึงไม่สามารถเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารได้อย่างที่หวังเอาไว้ พี่เข้าใจดีว่าคนที่อยากเข้าศึกษาในโรงเรียนเตรียมทหาร อยากเป็นนักเรียนนายร้อยนั้นเป็นอย่างไร สำหรับคนที่มีเงินมากๆก็คงไปหาที่เรียนกวดวิชาทั่วๆไปได้ แต่คนที่ทางบ้านมีฐานะไม่ค่อยดีนั้น การหาที่เรียนกวดวิชานั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

การสอบเตรียมทหารนั้นต้องมีการเตรียมตัวอย่างถูกต้อง เพราะถ้ามัวแต่เสียเวลาลองผิดลองถูกด้วยตัวเองนั้นก็บอกได้เลยว่ายากที่จะประสบความสำเร็จในการสอบเข้าเตรียมทหารได้

เพราะสามารถสอบได้แค่เพียงคนละ2-3ปีเท่านั้น ดังนั้นผู้ที่มีการเตรียมพร้อมที่ดีเท่านั้นที่จะสามารถสอบผ่านเข้าโรงเรียนนายร้อยแต่ละเหล่าที่มีคนสอบมากกว่า20000คน แต่รับได้เพียงเหล่าละร้อยกว่าคนเท่านั้น
ปีนี้จะเป็นการเปิดติวของพี่ให้แก่น้องๆเป็นปีแรก ลักษณะของการเรียนการสอนจะเป็นแบบพี่แนะนำน้อง เน้นทำข้อสอบเก่าที่เป็นข้อสอบเตรียมทหารจริงๆมาแล้ว และเน้นเทคนิควิธีการทำข้อสอบเพื่อให้ได้คะแนนสูงสุดในเวลาที่จำกัด พี่ต้องการคนที่ตั้งใจจริงในการสอบเข้าเตรียมทหารเท่านั้นนะครับ เก่งไม่เก่งไม่สำคัญ

ส่วนเรื่องภาคพละศึกษานั้นก็จะมีการเตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี พี่มีเทคนิคที่ถ่ายทอดจากนักเรียนเตรียมทหารโดยตรง ซึ่งการสอบพละศึกษาในเตรียมทหารนั้น ใครที่ทำไม่ถูกต้องหรือทำผิดท่านั้นอาจจะไม่ได้คะแนนเลยนะครับ บวกกับวิธีที่พี่คิดขึ้นเองและใช้ได้ผลมาแล้ว ดังนั้นน้องๆไม่ต้องกลัวเลยว่าจะสู้กับสถาบันกวดวิชาดังๆไม่ได้

ส่วนเรื่องการเรียนในภาควิชาการนั้นพี่จะรอดูความเหมาะสมในเรื่องจำนวนคนและสถานที่อีกทีครับ เมื่อแน่นอนแล้วจะแจ้งให้ทราบอีกที แต่คาดว่าน่าจะเป็นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
เรื่องเทคนิคต่างๆในการเรียนการสอนนั้นไม่ด้อยไปกว่าสถาบันกวดวิชาแน่นอน เพราะพี่เคยเรียนกวดวิชามาจนซึมซับเทคนิคในการสอน
น้องๆที่สนใจก็รีบติดต่อเข้ามานะครับ พี่รับจำนวนจำกัดเพื่อประโยชน์แก่น้องๆเอง เพราะถ้ารับหลายคนการดูแลอาจไม่ทั่วถึง พี่ไม่เน้นปริมาณแต่ พี่เน้นคุณภาพจริงๆครับ

ลองปรึกษากันได้ที่ jc_cadet@hotmail.com

เทคนิคการสอบ เตรียมทหาร

... รอบแรก ...
โดย นตท.ณัฐวุฒิ มงคลการ

@เตรียมความพร้อม ก่อนสอบ@
การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายต้องทำเป็นประจำอยู่เสมอ ทั้งก่อนออกและหลังออกกำลังกายจะต้องยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
( วอร์มอัพ ) ก่อนซัก 10 -15 นาที เพื่อให้กล้ามเนื้อมีความพร้อม สำหรับการออกกำลังกายควรเตรียมความพร้อมของ
ร่างกายโดยการวิ่ง เพราะการวิ่งจะช่วยทำให้ความฟิตของร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (โดยเฉพาะการออกกำลังกายกลาง
แดด จะช่วยให้เราเผาผลาญพลังงานในปริมาณที่มากกว่าปกติ แต่! ระวังจะเกิดการเป็นลมหรือ เกิดอาการฮีทสโตรก
ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นจึงต้องดื่มน้ำเป็นประจำ เป็นปริมาณมาก เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ

** ข้อควรระวัง **
การออกกำลังกายกลางแดด ควรกระทำในผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่ใช่นานๆ ออกครั้ง การออกกำลังกาย
กลางแดดควรทำอาทิตย์ละ 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว )
นอกจากนี้การวิ่งยังทำให้เพิ่มสมรรถภาพส่วนต่าง ๆ ได้มากขึ้นอีกด้วย ไม่ว่า จะเป็น การว่ายน้ำ การ sit-up
หรือการกระโดด ต่างๆ เป็นต้น ส่วนการดึงข้อ จะสามารถดึงได้มากขึ้นนั้น ต้อง ดึงฝืน ( การดึงฝืนคือการที่เราสามารถ
ดึงได้มากที่สุดแล้ว ฝืนแขนดึงต่อไปอีกครั้งหนึ่ง แม้จะได้หรือไม่ก็ตาม การดึงแบบนี้ ใช้เวลา 2 อาทิตย์ จาก ไม่ได้เลย
จะได้ประมาณ 7-9 ครั้ง )
การอ่านหนังสือ (ใกล้วันสอบ )
การอ่านหนังสือก่อนสอบควรอ่านพอประมาณ ไม่จำเป็นต้องอ่านหนัก อ่านทน ไม่ได้นอน หรือนอนน้อย เพราะ
การอ่านแบบนี้จะทำให้สมองพักผ่อนน้อย กล้ามเนื้อประสาท อ่อนล้า ทำให้สิ่งที่อ่านผ่านหายไปหมด และตอนเช้าจะทำ
ให้ง่วงเพลีย เบื่อหน่าย ไม่มีความกระตือรือร้นที่จะรับรู้หรือรับฟังอีก
การอ่านควรอ่านประมาณ 1 -1 ½ ชั่วโมง แล้วทำการพักผ่อนอิริยาบท เดิน ดื่มน้ำ ล้างหน้า ฟังเพลง เพื่อให้
กล้ามเนื้อสมองผ่อนคลายรอการใช้งานต่อไป เปรียบเสมือนการออกกำลังกาย ถ้าออกติดต่อกันเป็นเวลานานมาก ๆ จะทำ
ให้เกิดการเป็นตะคริว กล้ามเนื้อบาดเจ็บได้
จะเห็นได้ว่าหลายคนมีค่านิยมที่ว่า การอ่านหนังสือดึก ถ้าง่วง ก็ดื่มกาแฟ จะได้ไม่ง่วง อ่านหนังสือได้ต่อไป
แต่ถ้าถามไปว่าไอ้ที่อ่านไปรู้เรื่อง เข้าใจหรือเปล่า คำตอบที่ได้เกือบทั้งร้อย คือไม่รู้เรื่อง ได้แค่ “ ได้อ่าน ”
การอ่านหนังสือ ถ้าเกิดอาการง่วง ไม่ควร ดื่มกาแฟ เพราะกาแฟทำให้ร่างกายเราไม่ง่วงก็จริง แต่สติความคิด
ภายในเรายังง่วงอยู่ จึงแนะนำว่าไม่ควรดื่มกาแฟขณะที่ง่วง แต่ถ้าไม่ไหวจริง อ่านไม่ทัน (หรือไม่ได้อ่าน) ควรปฎิบัติดังนี้

อ่านต่อที่

ความสำเร็จอยู่แค่เอื้อม

ใครกันนะบอกว่า ความสำเร็จไกลเกินเอื้อม แท้จริงมันอยู่ใกล้ๆ นี้เอง เพียงแต่เรามีบันไดปีนไปให้ถึง “ คิดดี ” ไปได้ข้อมูลจาก เรื่อง STAIRWAY TO SUCCESS ในหนังสือ Creating Kids Who Can โดย Jean Robb and Hilary Letts มาค่ะ เขาบอกว่ามันมีวิธีที่ก้าวไปสู่ความสำเร็จ ไม่ว่าในชีวิตหรือในเรื่องการเรียน โดยเรียนรู้เรื่องเหล่านี้

ชีวิตที่มีทางเลือก พวกเราส่วนใหญ่ที่อยู่ในวัยเรียนหลายๆ คนอาจไม่เคยถามตัวเองเลยว่า ถ้าฉันไม่ชอบเรียนอย่างนี้ จะมีทางอื่นให้เลือกไหม เรามักจะเดินไปตามทางที่มีอยู่แล้วโดยไม่ฉุกคิดเลยว่าจะมีทางเดินอื่นอีกไหม ซึ่งทำให้เราต้องทนทุกข์อยู่กับทางเดินที่ไม่เหมาะกับเราขาดโอกาสที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น และไปไม่ถึงจุดหมายที่ต้องการ หรือไม่ประสบความสำเร็จสักที

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตนี้มีทางเลือกเสมอ... ขอให้เชื่อมั่นอย่างนั้น ทบทวนทางเดินของตัวเองแล้วลองมองหามุมมองหาหนทางอื่นๆ ที่เหมาะกับตัวเราที่สุด เช่น บางคนไม่ได้อยากมีพฤติกรรมเหมือนเพื่อน แต่ก็ทำตามๆ กลุ่มเพื่อนไปโดยที่ใจไม่ชอบ หรือการจะเลือกเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา อย่าคิดเพียงว่าจะเลือกเรียนสายวิทย์หรือสายศิลป์เท่านั้น ยังมีสายทั่วไป สายวิชาชีพอีกหลายๆ แขนง เป็นต้น การสร้างทางเลือกช่วยให้เราต้องฝึกคิดชั่งให้น้ำหนักสิ่งที่เราจะเลือกให้ได้ประโยชน์สูงสุด

• การตัดสินใจ หลังจากชั่งน้ำหนักแล้ว มาถึงขั้นตัดสินใจ การตัดสินใจเป็นทักษะอย่างหนึ่งที่ในชีวิตของเราไม่ว่าในการเรียนหรือการทำงาน แม้แต่ในการดำเนินชีวิตประจำวันก็ต้องใช้ทักษะนี้มาก การตัดสินใจที่ดีเหมาะสมเป็นบันไดขั้นหนึ่งที่นำเราก้าวไปสู่ความสำเร็จได้... เหมือนอย่างเอมวลี ปกติเธอเป็นเด็กเรียนดีแต่ก็เฮฮายู่ในกลุ่มเพื่อนกลุ่มใหญ่ เมื่อเพื่อนชวนโดดเรียน ใจหนึ่งก็นึกสนุกอยากไปกับเพื่อนๆ แต่อีกใจหนึ่งก็กลัว เธอนั่งใคร่ครวญถึงผลของมันว่า ถ้าโดดเรียนไปเที่ยวก็คงไม่สนุกเต็มที่เพราะกังวล และถ้าครูจับได้ ก็ต้องแจ้งพ่อแม่ พ่อกับแม่คงเสียใจและไม่ไว้ใจเธออีกต่อไปเธอชั่งเหตุผลต่างๆ แล้วตัดสินใจไม่ไป... นี่คือตัวอย่างของการตัดสินใจที่มีการคิดวิเคราะห์เหตุและผล ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย ซึ่งจะทำให้เราคาดการณ์ผลล่วงหน้าได้ระดับหนึ่ง และทำให้ตัดสินใจได้ถูกต้องแม่นยำ

• เปิดใจกว้าง การเปิดใจนั้นทำให้เข้ากับคนอื่นๆ ได้ง่าย มองความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติ ในขณะเดียวกันก็สนุกกับสิ่งที่ไม่คาดฝันได้ ได้พัฒนาความรู้ความสามารถของตัวเอง ซึ่งเราจะค้นพบสิ่งเหล่านี้เมื่อเรามองโลกในแง่ดี

• รู้ว่าตัวเองถนัดเรื่องอะไร เราจะรู้สึกมั่นใจ เมื่อเข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายล้วนมีความแตกต่างและไม่จำเป็นต้องคิดตามคนส่วนใหญ่ก็ได้ ที่สำคัญเราต้องค้นให้พบว่าเรามีความถนัดในเรื่องอะไรบ้าง เพื่อจะได้ต่อยอดความถนัดของเราให้กลายเป็นความสามารถ หรือเลือกทางเดินชีวิต การเรียนให้เหมาะกับตัวเอง ซึ่งถ้าเราได้ทำได้เรียนในสิ่งที่เราถนัดเรามีความรู้ ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้มาก

นอกจากมีทักษะชีวิตที่จำเป็นดังกล่าวเป็นพื้นฐานแล้ว ในการเรียนรู้ให้ประสบความสำเร็จยังมีข้อแนะนำอีกว่า

• ฟังให้เป็น การเป็นผู้ฟังที่ดี คือมุ่งความสนใจทั้งหมดไปกับสิ่งที่ได้ยิน โดยทำความสะอาดพื้นที่ในใจให้ปราศจากอคติใดๆ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจในสิ่งที่ฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการเตรียมตัวที่สำคัญที่สุดสู่การเป็นนักเรียนรู้ที่ดี

• เรียนให้รู้ การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีเมื่อเรารู้สึกเป็นอิสระ มั่นใจ ไม่ต้องกังวลว่าเราคิดผิดหรือถูก และเราต้องเข้าใจว่าบางอย่างอาจเรียนรู้ง่ายบางอย่างต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ ควรเรียนรู้อย่างผ่อนคลายเมื่อต้องเรียนรู้ในสิ่งที่ยาก

• กฎระเบียบไม่ใช่อุปสรรค เมื่อบอกว่าคนเราจะเรียนได้ดีถ้ารู้สึกเป็นอิสระ ไม่ได้หมายความว่ากฎระเบียบต่างๆ จะเป็นอุปสรรคมาจำกัดขอบเขตการเรียนรู้ ถ้าเราเข้าใจได้ว่า ขอบเขต กฎระเบียบที่วางไว้ ไม่ว่าในโรงเรียน ที่บ้าน ที่ทำงาน มีเพื่ออะไร เช่น ห้องสมุดต้องการความเงียบสงบเพราะคนอ่านหนังสือต้องการสมาธิ เราก็จะไม่กล้าส่งเสียงดังเพราะกลัวรบกวนคนอื่น (ไม่ใช่เพราะกลัวผิดกฎ) เป็นต้น... เราก็จะไม่อึดอัดกับกฎระเบียบ ไม่เครียด ดีเสียอีกที่การรู้จักขอบเขตให้เรามีวินัย เรียนรู้และทำสิ่งต่างๆ ได้ลุล่วงสำเร็จ

• ตั้งคำถาม เด็กๆ ต้องรู้สึกสนุกที่จะถาม และฝึกตั้งคำถามอย่างสร้างสรรค์ เมื่อถามไปแล้วก็ต้องรอฟังคำตอบอย่างตั้งใจด้วย แต่สำหรับใครที่ยังเก้ๆ กังๆ ที่จะถามด้วยความอายว่าคำถามเราจะเชยเปิ่นหรือเปล่า ขอให้คิดไว้เสมอว่า ไม่ต้องอายที่จะแสดงความไม่รู้ เพราะความไม่รู้นำมาซึ่งความรู้ นะคะ... จึงเป็นที่มาของพยัญชนะไทย ง มาก่อน ฉ ยังไงล่ะ (ฮา...)

• ถ้าไม่ทำ ก็ไม่มีวันได้ เมื่อเรามีปัญหาที่จะต้องไปให้ถึง สิ่งที่ดีที่สุดคือต้องลงมือทำ

... ในห้องเรียนวิชาเลข เมฆทำแบบฝึกหัด แม้จะไม่แน่ใจว่าจะทำถูกหรือเปล่า เมื่อครูเห็นเขาทำผิดก็เข้ามาสอน ในที่สุดเขาก็ได้เรียนรู้วิธีการที่ถูกต้อง... ในขณะที่ ฤทธิ์ หยุดไว้เพียงแค่เขียนวันที่ที่หัวกระดาษ ครูก็ไม่แน่ใจว่าเขาไม่อยากทำหรือทำไม่ได้กันแน่ จึงไม่รู้จะสอนตรงไหน เท่ากับว่าฤทธิปล่อยโอกาสการเรียนรู้หลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย...

... รู้ไหมว่าทั้งสองคนต่างกันตรงไหน ใช่แล้วค่ะ ตรงที่เลือก ทำ หรือ ไม่ทำ

แล้วถ้าเด็กๆ เจอสถานการณ์แบบนี้จะเลือกแบบไหน



สนุกกับชีวิตถ้ารู้จักเลือก

... เด็กชายพลตอนอายุ 8 ขวบ ไม่เคยมีความสุขเลย เขามักจะถามตัวเองเสมอว่าเขาจะทำได้ไหม และทุกครั้งที่เขาต้องทำสิ่งใหม่ๆ เขารู้สึกเหนื่อยที่จะต้องทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน และเฝ้าสงสัยว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาไม่อยากทำงาน

... แต่ต่อมาเมื่อพลได้เรียนรู้ที่จะคิดเกี่ยวกับว่า อะไรที่เขาต้องการ และสร้างตัวเลือก เกี่ยวกับสิ่งที่เขาอยากจะมี เขาเริ่มพบว่าเขาได้รับความสนุกสนานในสิ่งที่คิด และมันเป็นไปได้ที่จะสนุกกับสิ่งที่ทำ เมื่อเขาจดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำและหยุดกังวลว่าจะผิดพลาด...

เชื่อเถอะ ทุกคนสนุกกับชีวิตได้ เพราะสิ่งต่างๆ ล้วนน่าสนใจ และ ชีวิตเต็มไปด้วยการผจญภัย มีการเปรียบว่า คนที่เห็นชีวิตเป็นดั่งการผจญภัย เหมือนการสร้างบ่อน้ำขนาดใหญ่ เพื่อเก็บประสบการณ์ไว้ เพื่อนำออกมาใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการได้

สนุกกับชีวิต ถ้ารู้จักอยู่ร่วมกับคนอื่น

ชีวิตในโรงเรียน ไม่ใช่เพียงเรียนในตำราเท่านั้น เราต้องเรียนรู้ที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆ ด้วยทั้งเพื่อน คุณครู นักการ ภารโรง แม่บ้าน ฯลฯ ...เราจึงควรเข้าใจว่า

• ทุกคนเป็นคนเหมือนกัน เรารู้ว่าทุกคนมีโอกาสทำถูกและผิด มีความรู้สึกทุกข์และสุข บางครั้งอาจกล้าบางครั้งก็อายได้เท่าๆ กัน... เมื่อเรารู้อย่างนี้ เราก็จะไม่เดือดเนื้อร้อนใจหากไม่ได้ใส่รองเท้าหรูหรือกระเป๋าสุดเดิร์น เพราะเรารู้ว่านั่นไม่ใช่สาระสำคัญในชีวิต จริงไหม

• การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บางครั้งเราอาจเป็นคนยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคนอื่น และบางครั้งถ้าเราต้องการความช่วยเหลือก็ควรบอกไปตรงๆ เพราะในโลกนี้ใช่มีเราอยู่เพียงเดียวดาย ชีวิตจะง่ายขึ้นถ้ารู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

สนุกกับชีวิตถ้ารู้จักคิดสร้างสรรค์

เรา “ คิด ” กันอยู่ตลอด แม้บางทีไม่ได้คิดเฉพาะแต่สิ่งที่ชอบ แต่นั่นก็คือความคิด ว่ากันว่า ... เด็กที่เรียนรู้ว่า จะพัฒนาความคิดของตนได้อย่างไรนั้น เขาจะได้มากกว่าความสำเร็จ ...

... แม้ว่าปลายทางแต่ละคนจะต่างกัน แต่ทุกคนล้วนประสบความสำเร็จในวิถีของตนได้เหมือนกัน ไหน ชูมือให้ดูหน่อยสิว่า ใครจะก้าวสู่บันไดนี้เป็นรายต่อไป...

(update 23 เมษายน 2005)
[ ที่มา.. kids&family ปีที่ 9 ฉบับที่ 106 มกราคม 2548

สมัครเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ทบ. ปี 52

โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เปิดรับสมัครบุคคลพลเรือน เข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ในส่วนของกองทัพบก ประจำปีการศึกษา 2552 โดยผู้สมัครจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน ตามที่กำหนดไว้ กรุณาศึกษารายละเอียด การรับสมัครได้จาก ระเบียบการรับสมัคร โดยข้อมูลเบื้องต้น เกี่ยวกับการรับสมัครมีดังนี้
การจำหน่ายระเบียบการและใบสมัคร
วันที่ 5 มกราคม 2552 ถึงวันที่ 17 มีนาคม 2552
สถานที่จำหน่ายระเบียบการและใบสมัคร
โรงเรียนนายเรืออากาศ กรุงเทพฯ
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จ.นครนายก
โรงเรียนเตรียมทหาร จ.นครนายก

การรับสมัคร
สมัครทางไปรษณีย์ ได้ตั้งแต่ วันที่ 12 มกราคม 2552 ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552
สมัครด้วยตนเอง ได้ที่ โรงเรียนนายเรืออากาศ ดอนเมือง กทม. ระหว่าง วันที่ 12 มีนาคม 2552 ถึง วันที่ 17 มีนาคม 2552

การสอบคัดเลือก
สอบภาควิชาการ ตามหลักสูตร มัธยมศึกษาตอนต้น วันที่ 2 เมษายน 2552
สอบรอบสอง (ทดสอบสุขภาพจิต ตรวจร่างกาย สอบสัมภาษณ์ และพลศึกษา) ระหว่าง วันที่ 16 เมษายน 2552 ถึง วันที่ 19 เมษายน 2552

ผู้ผ่านการสอบคัดเลือก จะได้เข้าศึกษาต่อ ในโรงเรียนเตรียมทหาร เป็นเวลา 3 ปี จากนั้นจึงเข้าศึกษาที่ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เป็นเวลา 4 ปี เมื่อสำเร็จการศึกษา จะได้รับบรรจุ เข้ารับราชการเป็นนายทหารสัญญาบัตร ของกองทัพบก กระทรวงกลาโหม

ชีวิตของ นักเรียนเตรียมทหารกว่าจะถึงดวงดาว

โรงเรียนเตรียมทหาร ชายหลายคนมุ่งมั่นสอบแข่งขันก้าวเข้าสู่การเป็น นักเรียนเตรียมทหาร แต่การรับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารนั้น โรงเรียนเตรียมทหารไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการสอบคัดเลือกนักเรียนเตรียมทหารเอง

แต่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรืออากาศ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ จะเป็นผู้ดำเนินการสอบคัดเลือก โดยจะมีการกำหนดจำนวนรับ นักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ละปีมีนักเรียน บุคคลกรกว่า 1 แสนคนทั่วประเทศเข้าร่วมสอบแข่งขัน แต่จะมีนักเรียนที่มีความสามารถ 1 ใน 100 เท่านั้นที่จะผ่านเข้าสู่...

"โรงเรียนลูกผู้ชาย"...!!!

จากนั้นแต่ละเหล่าทัพจะส่งผู้ผ่านการสอบคัดเลือกมาเรียนรวมกันที่โรงเรียนเตรียมทหาร เป็นเวลา 3 ปี เมื่อนักเรียนสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนเตรียมทหารแล้ว จึงจะได้ศึกษาต่อในโรงเรียนเหล่าทัพตามที่นักเรียนได้สมัครและผ่านการสอบคัดเลือก

จากอัตราการสอบเข้าที่มีสัดส่วนการแข่งขันสูงมากทุกปี ทำให้โรงเรียนเตรียมทหารได้นักเรียนที่มีผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากเป็นส่วนใหญ่ แต่นั้นไม่ได้แต้มต่อที่สำคัญ เมื่อนักเรียนอย่างเท้าเข้าในโรงเรียนเตรียมทหาร จะพบว่ากำลังอยู่ในเบ้าหลอมแห่งประสบการณ์ที่ไม่เคยได้พบมาก่อน พล.อ.ปิยะ สุวรรณพิมพ์ อดีตผู้บัญชาการท่านแรง แนะแนวทางสำหรับนักเรียนใหม่ว่า ต้องปลูกฝังชีวิตทหารเสียแต่เริ่มแรก ให้รู้สึกตัวว่าเป็นผู้น้อยสุด Senion to no one and Junior to all นักเรียนใหม่จะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอะไรเองโดยได้ไม่สั่ง

เมื่อกว้าสู่โรงเรียนเตรียมทหารจะอยู่ในความดูแลของ พล.ต. พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร วันแรงของนักเรียนเตรียมทหารจะมีความวิตกเสมอ เพราะกิตติศัพท์ความหฤโหด จากการถูกซ่อม และถูกกดดัน ตามที่เคยได้ยินคำบอกเล่าต่อกันมา ความกังวลย่อมทวีคูณกับผู้ปกครองที่อาจเคยถูกรับน้องใหม่ เมื่อเป็นนักเรียนนิสิตนักศึกษา และไม่เคยปล่อยลูกให้เผชิญกับโลกภายนอก เลี้ยงดูกันแบบประคบประหงตามหลักจิตวิทยา นั้นเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง โรงเรียนเตรียมทหารเต็มไปด้วยความเข้มงวด และต้องอาศัยความอดทนอย่างสูงสุด ระบบการรับน้องใหม่ หรือ "ซ่อม" จะไม่เหมือนกับการรับน้องตามสถาบันต่างๆ เพราะรับน้องแบบนั้นเป็นแบบเฉพาะกิจ เพื่อสร้างความคุ้นเคย และแฝงไปด้วยความสนุกสนาน

สภาพชีวิตของนักเรียนเตรียมทหาร เป็นสภาพชีวิตที่หนักหน่วง เหมาะสำหรับคนที่"ใจสู้" และมุ่งมั่นเท่านั้น ช่วงเช้าถึงบ่ายนักเรียนมีภาระหน้าที่ในการเรียนศึกษาวิชาการตามมาตรฐานของโรงเรียนในระดับมัธยมปลายทั่วไป ในเวลาอื่นจะมีแต่การฝึก ที่นี่ต้องสอนนักเรียนกันใหม่หมดทุกอย่าง การเปลี่ยนแปลงตัวเอง แม้แต่การยืน การเดิน การนั่ง การกิน การคิด ซึ่งอาจเป็นเรื่องจุกจิกหยุมหยิมจนน่าขัน แต่สำหรับที่เตรียมทหาร เราจะฉวยโอกาสทุกหนทาง เพื่ออบรมปลูกฝังนักเรียนให้คุ้มเคยกับกฎระเบียบที่เข้มงวด เพื่อสร้างวินัย และสร้างความแข็งแกร่งอันเป็นจุดเริ่มต้นขั้นพื้นฐานในการศึกษา หลังทฤษฎี และหลักปฎิบัติในเรื่องภาวะผู้นำที่จะมีการเรียนการสอนในโรงเรียนเหล่าแต่ละแห่งในโอกาสต่อไป

"เราสร้างความเป็นชายชาตรีผ่านความกดดันบีบคั้นทั้งทางกาย และจิตใจ เรามีการตรวจความเรียบร้อยของร่างกายตลอดเวลา ขณะเดียวกันเราก็ปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีของสุภาพบุรุษ และมารยาทในโอกาสต่างๆ และต้องลงมือให้กระทำด้วยตนเอง เพื่อกลายเป็นนิสัยประจำวัน"พล.ต. พรพิพัฒน์ กล่าวและบอกอีกว่า

ตลอดเวลานักเรียนใหม่ต้องเผชิญกับสารพัดคำสั่งจากทุกทิศทาง มีเรื่องที่ต้องทำตามคำสั่งเป็นสิบเป็นร้อยเรื่อง นักเรียนต้องทำตามคำสั่งให้เสร็จและทำให้ดี ในเวลาที่มีจำกัด เมื่อสมองท่องจำว่า

"ทำไม่ได้ไม่มี"...!!!

ส่วนเรื่องของการลงโทษด้วยการให้ออกกำลังปรับปรุงสภาพร่างกายหรือซ่อม หรือการธำรงวินัย หมายถึงการลงโทษด้วยการให้ออกกำลังกายในท่าต่างๆ ที่ทางโรงเรียนพิจารณาแล้วว่าเป็นท่าที่เหมาะสมปลอดภัย และไม่ปล่อยให้ทำกันเองไร้เป้าหมาย โรงเรียนออกแบบระบบขั้นตอน และวิธีการให้มีการควบคุมกำกับดูแลตามสายการบังคับบัญชาโดยเคร่งครัด ไม่ใช่ให้นักเรียนแอบทำกันเอง

ระบบนี้มีไว้เพื่อการเปลี่ยนแปลงเด็กธรรมดาที่มาจากทั่วทุกสารทิศทั่วประเทศให้มีบุคลิกภาพอันเหมาะสมกับความเป็นทหารตำรวจด้วยวิธีที่รวดเร็วหนักหน่วงบีบคั้นทั้งร่างกาย และจิตใจ ด้วยความตั้งใจไม่ใช่เป็นการแกล้งเพื่อเอาความสนุก แต่ทำไปเพื่อให้นักเรียนใหม่เข้าใจ การจำลองบรรยากาศ และวิถีแห่งอาชีพที่เป็นจริงของการเป็นนายทหาร ตำรวจ ดั่งคำว่ากว่า

"จะเป็นนายทหารนายตำรวจที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมสำหรับการป้องกันประเทศ และรักษาความสงบของประชาชนนั้น ต้องผ่านกระบวนการมากมาย และเตรียมทหาร ก็คือจุดเริ่มต้นแห่งความเป็นลูกผู้ชายที่มุ่งมั่นตามแบบอย่างที่เขาใฝ่ฝัน"

เป็นเวลานับห้าทศวรรษในภารกิจปกครองบังคับบัญชา และให้การศึกษาอบรม นักเรียนเตรียมทหาร เพื่อให้เป็นผู้มีคุณสมบัติ และทัศนคติพื้นฐาน พร้อมที่จะพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำในอนาคตต่อไป

สกู๊ป หนังสือพิมพ์แนวหน้า

ชำนาญ ไชยศร
SCOOP@NAEWNA.COM

เตรียมทหาร

เตรียมทหารหรือโรงเรียนเตรียมทหาร เป็นสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดกรมยุทธศึกษาทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด และเป็นสถาบันการศึกษาแห่งเดียวในประเทศไทย ที่เป็นศูนย์รวมเบื้องต้นสำหรับผู้ที่จะเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรืออากาศ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผู้ที่ศึกษาในโรงเรียนเตรียมทหาร เรียกว่า นักเรียนเตรียมทหาร (นตท.)

การรับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารนั้น โรงเรียนเตรียมทหารมิได้เป็นผู้ดำเนินการสอบคัดเลือกนักเรียนเตรียมทหารด้วยตนเอง หากแต่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรืออากาศ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ จะเป็นผู้ดำเนินการสอบคัดเลือก โดยในแต่ละปีจะมีการกำหนดจำนวนรับนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากนั้นแต่ละเหล่าทัพจะส่งผู้ผ่านการสอบคัดเลือกมาเรียนรวมกันที่โรงเรียนเตรียมทหาร เป็นเวลา 3 ปี

ภายหลังจากที่สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนเตรียมทหารแล้ว นักเรียนเตรียมหทารเหล่านี้จะเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนเหล่าทัพ ตามที่ตนเองได้สมัครและผ่านการสอบคัดเลือก

เมื่อสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเหล่าทัพ หรือโรงเรียนนายร้อยตำรวจแล้ว นักเรียนนายร้อยเหล่านี้ จะได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นนายทหาร และนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร พร้อมทั้งเข้ารับพระราชทานกระบี่จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และทำงานรับใช้ประเทศชาติด้วยเกียรติ ศักดิ์ศรี และสร้างความภาคภูมิใจให้กับตนเองและครอบครัว ในภายภาคหน้าต่อไป

ขอขคุณข้อมูลจาก
วิกิพีเดีย